แนวความคิดนี้ต้องใช้เวลาหลายปีก่อนที่จะเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา ด้วยความยากลำบากทางเศรษฐกิจหลังสงคราม จนกระทั่งผ่านมาจนถึงปี 1954 ผู้ว่าการรัฐในตอนนั้น คือ พณฯ ท่าน Joseph Cahill ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อดำเนินการ พร้อมกับการจัดหาทุนในการก่อสร้างจำนวน 7 ล้านเหรียญ ซึ่งเป็นจำนวนประมาณการในตอนนั้น แรกเริ่มคณะกรรมการหาเงินทุนมาได้เพียง 9 แสนเหรียญ ผู้ว่า Joseph Cahill เลยต้องหาวิธีการใหม่ มาสรุปกันด้วยการออกล๊อตเตอรี่การกุศลขึ้นในการหาทุนสร้าง กล่าวได้ว่าการก่อสร้างโรงละครแห่งนี้สำเร็จลงได้ก็เพราะเงินกำไรจากกการขายล๊อตเตอรี่นี่แหละ และเมื่อการก่อสร้างสร็จสิ้นลงค่าก่อสร้างเบ็ดเสร็จรวมแล้วถึง 102 ล้านเหรียญทีเดียว
อุปรากร (opera)
วันจันทร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
โรงอุปรากรซิดนีย์
ก่อนที่จะมีการก่อสร้าง Sydney Opera House ขึ้น ซิดนีย์ไม่มีสถานที่ที่เหมาะสมเพียงพอในการเปิดแสดงดนตรีและการแสดงต่างๆ ชาวเมืองใช้ที่ว่าการของเมืองเป็นที่จัดแสดง แต่เวทีการแสดงก็ยังไม่มีความสมบูรณ์และเหมาะสมอยู่ดี ครั้นเมื่อ Sir Eugene Goosens ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าวาทยากรของวงดุริยางค์ Sydney Symphony Orchestra และดำรงตำแหน่งกรรมการของ NSW Conservatorium of Music ในปี 1947 จึงได้มีแนวความคิดที่จะสร้างสถานที่จัดแสดงทางศิลปะแห่งใหม่ ซึ่งรวมถึงการแสดงคอนเสริต ดุริยางคศิลป์และโอเปร่า เข้าด้วยกันในที่ที่เดียว
ตัวอย่างบทประพันธ์โอเปร่าที่สำคัญ
- 1. Opera, Serious Opera
- Don Giovanni โดย โมซาร์ท
- The Magic Flute โดย โมซาร์ท
- Alceste โดย กลุ๊ค
- La Bohème โดย ปุชชีนี
- Hensel and Gretel โดย ฮัมเปอร์ดิง
- Julius Caesar โดย ฮันเดล
- Lohengrin โดย วากเนอร์
- Madama Butterfly โดย ปุชชีนี
- The Mastersingers of Nuremberg โดย วากเนอร์
- Norma โดย เบลลินี
- Orpheus and Eurydice โดย กลุ๊ค
- Otello โดย แวร์ดี
- Parsifal โดย วากเนอร์
- Pelleas et Melisande โดย เดอบูสซี
- Prince Igor โดย โบโรดิน
- The Rake's Progress โดย สตราวินสกี
- Rigoletto โดย แวร์ดี
- The Ring of the Nibelung (โอเปร่า 4 เรื่อง) โดย วากเนอร์
- Romeo et Juleitte โดย กูโน
- The Tale of Hoffmann โดย ออฟเฟนบาค
- La Tosca โดย ปุชชินี
- Tristan and Isolde โดย วากเนอร์
- La Traviata โดย แวร์ดี
- William Tell โดย รอสชินี
- 2. Comic Opera, Operetta
- The Abduction From The Seraglio โดย โมซาร์ท
- The Barber of Seville โดย รอสชินี
- The Bartered Bride โดย สเมนตานา
- Die Fledermaus โดย โยฮัน สเตราส์
- Hary Janos โดย โคดาย
- H.M.S. Pinafore โดย กิลเบิร์ต และซัลลิแวน
- The Marriage of Figaro โดย โมซาร์ท
น้ำเสียงที่ใช้ในการขับร้อง
น้ำเสียงที่ใช้ในการขับร้องแบ่งเป็น 6 ระดับเสียง คือ เป็นน้ำเสียงนักร้องชาย 3 ระดับ และน้ำเสียงนักร้องหญิง 3 ระดับ ดังนี้
1. โซปราโน (Soprano) เป็นระดับเสียงสูงสุดของนักร้องหญิง
2. เมซโซโซปราโน (Mezzo - Soprano) เป็นระดับเสียงกลางของนักร้องหญิง
3. คอนทรัลโต หรือ อัลโต (Contralto or Alto) เป็นเสียงระดับต่ำสุดของนักร้องหญิง
4. เทเนอร์ (Tenor) เป็นเสียงระดับสูงสุดของนักร้องชาย
5. บาริโทน (Baritone) เป็นเสียงระดับกลางของนักร้องชาย
6. เบส (Bass) เป็นเสียงระดับต่ำสุดของนักร้องชาย
1. โซปราโน (Soprano) เป็นระดับเสียงสูงสุดของนักร้องหญิง
2. เมซโซโซปราโน (Mezzo - Soprano) เป็นระดับเสียงกลางของนักร้องหญิง
3. คอนทรัลโต หรือ อัลโต (Contralto or Alto) เป็นเสียงระดับต่ำสุดของนักร้องหญิง
4. เทเนอร์ (Tenor) เป็นเสียงระดับสูงสุดของนักร้องชาย
5. บาริโทน (Baritone) เป็นเสียงระดับกลางของนักร้องชาย
6. เบส (Bass) เป็นเสียงระดับต่ำสุดของนักร้องชาย
องค์ประกอบของโอเปร่า
องค์ประกอบของโอเปร่า
- 1. เนื้อเรื่อง เนื้อเรื่องที่นำมาเป็นบทขับร้อง เป็นบทร้อยกรองที่มาจากตำนาน เทพนิยายนิทานโบราณ และวรรณกรรมต่าง ๆ ที่มีชื่อเสียงมาทำเป็นบทร้อง และที่แต่งขึ้นใหม่สำหรับแสดงโอเปร่าโดยเฉพาะ โดยมีคีตกวีเป็นผู้แต่งทำนองดนตรี คีตกวีบางคนก็มีความสามารถแต่งเรื่องทำเนื้อเรื่องให้เป็นบทร้อยกรองหรือบทละครสำหรับขับร้อง และแต่งดนตรีประกอบทั้งเรื่องด้วย
- 2. ดนตรี ดนตรีในโอเปร่านั้นเป็นปัจจัยที่ทำให้โอเปรามีชีวิตจิตใจ มักเริ่มด้วยดนตรีบรรเลงโหมโรง (Overture) บรรเลงประกอบบทร้อยกรองซึ่งเป็นบทขับร้อง ทั้งดำเนินเรื่องและเจรจากันตลอดทั้งเรื่อง ดนตรีเป็นองค์ประกอบสำคัญ จนโอเปร่าได้รับการยกย่องให้เป็นผลงานของผู้ประพันธ์ดนตรี หรือ คีตกวี (Composer) มากกว่าที่จะคิดถึงผู้ประพันธ์เนื้อเรื่อง หรือ บทขับร้อง เช่น โอเปร่าเรื่อง Madame Butterfly ของ Giacomo Puccini (1878-1924) ปุชชีนี เป็นคีตกวีที่แต่งดนตรีประกอบ ผู้แต่งละครเรื่องมาดามบัตเตอร์ฟลาย คือ David Belasco (David Belasco ได้เค้าเรื่องนี้จากเรื่องสั้นของ John Luther Long) ผู้ร้อยกรองเนื้อเรื่องให้เป็นบทขับร้อง คือ Luigi lllica และ Giuseppe Giacosa แต่เมื่อพูดถึงโอเปร่าเรื่องมาดามบัตเตอร์ฟลายแล้ว ก็จะยกย่องให้เป็นผลงานของคีตกวีปุชชินี มักไม่มีใครนึกถึงนักประพันธ์ หรือ กวีผู้ร้อยกรองเรื่องให้เป็นบทขับร้อง หรือโอเปร่าเรื่อง คาร์เมน (Carmen) ของ บิเซต์ (Georges Bizet) ที่มี Prosper Merimee เป็นผู้ประพันธ์เรื่อง และมี Henri Meilhac และ Ludovic Halevy เป็นผู้ร้อยกรองบทขับร้อง แต่คนก็จะพูดกันถึงแต่เพียงว่าโอเปร่าเรื่องคาร์เมนของบิเซต์ ดนตรีที่ใช้บรรเลงประกอบเป็นวงออร์เคสตรา (Orchertral)
- 3. ผู้แสดง ผู้แสดงโอเปร่านอกจากต้องเป็นนักร้องที่เสียงไพเราะดังแจ่มใสกังวาน มีพลังเสียงดี แข็งแรงร้องได้นาน ต้องฝึกฝนเป็นนักร้องอุปรากรโดยเฉพาะ ยังเป็นผู้มีบทบาทยอดเยี่ยมด้วย เน้นในเรื่องน้ำเสียง ความสามารถในการขับร้องและบทบาทมากกว่าความสวยงามและรูปร่างของผู้แสดง มักให้นักร้องเสียงสูงทั้งหญิงและชายแสดงเป็นตัวเอกของเรื่อง โดยทั่วไป
นักประพันธ์เบโธเฟน
เบโธเฟน เมื่ออายุได้ 16 ปี มีโอกาสเดินทางไปยังกรุงเวียนนาซึ่งเป็นแหล่งที่มีนักดนตรีที่มีชื่อเสียง และได้พบกับโมทซาร์ทนักดนตรีผู้ยิ่งใหญ่ในช่วงนั้น หลังจากนั้นก็ได้เดินทางกลับมายังกรุงบอนน์เนื่องจากมารดาของเขาป่วยหนักและได้เสียชีวิตลงในที่สุด ครั้นพออายุได้ 18 ปี เบโธเฟน ได้รับตำแหน่งนักออร์แกนและนักไวโอลินประจำราชสำนักบอนน์
เบโธเฟน เดินทางมาตั้งรกรากที่เวียนนาเมื่ออายุได้ 22 ปี ( ค.ศ. 1792 ) หลังจากเคยมาเวียนนาและมีโอกาสเล่นเปียโนให้โมทซาร์ทฟัง ซึ่งเมื่อโทซาร์ทได้ฟังฝีมือเบโธเฟนกับเพื่อนว่า เบโธเฟนจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในโลกดนตรีต่อไป เมื่อเบโธเฟนมาอยู่เวียนนาเป็นการถาวร มีโอกาสศึกษาดนตรีกับไฮเดินพักหนึ่งและไปศึกษากับโยฮันน์ จอร์ช อัลเบรคส์เบอเกอร์ ( Johann George Albrechtsberger ) อยู่เป็นเวลา 2 ปี และได้ใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงเวียนนาจนกระทั้งวาระสุดท้ายของชีวิต
ภายหลังการใช้ชีวิตในกรุงเวียนนา 7 ปีแรกเขาทำงานหนักในการสร้างความมั่นใจให้กันตัวเองและต่อสาธารณชน เบโธเฟนได้ตระเวณเล่นดนตรีไปตามสถานที่ต่าง ๆ จนชื่อเสียงทางการบรรเลงเปียโน จนเป็นที่รู้จักกันทั่วกรุงเวียนนาและได้้มีลูกศิษย์ที่เป็นชนชั้นสูงจำนวนมาก จนกระทั้งได้มีโอกาสพบกับท่านเคาน์วาลชไตน์ ( Count Waidstein ) ที่พาเขาเข้าไปแนะนำกับพวกผู้ดีมีตระกูลซึ่งเป็นชนชั้นสูงของกรุงเวียนนา จากความสามารถของเบโธเฟนนี้เองที่ทำให้เจ้าชายและเจ้าหญิงลิคนอฟสกี ได้เชิญให้เขาไปพำนักอยู่ในวังและรับเป็นผู้อุปถัมภ์ทางการเงิน
เบโธเฟน เป็นผู้หนึ่่งที่พยายามจะอยู่ด้วยตัวเองโดยการขายบทเพลง ไม่ต้องการรับใช้ใครตั้งแต่เริ่มต้นอาชีพเป็นนักประพันธ์เพลง ซึ่งโมทซาร์ทเคยพยายามมาแล้วแต่ไม่ประสบความสำเร็จ เบโธเฟน ก็เช่นกันประสบกับปัญหาทางการเงินมาโดยตลอดในช่วงแรกนี้ ในที่สุด กลุ่มผู้ชื่นชมในผลงานของเบโธเฟนรวมตัวกันเพื่อให้การสนับสนุน ถ้าเบโธเฟน ขาดแคลนเรื่องการเงิน โดยมีข้อสัญญาว่า เบโธเฟน ต้องอยู่ในเวียนนา เบโธเฟน ยอมรับเงื่อนไขนี้ ซึ่งทำให้เขาสามารถอยู่ได้อย่างสบาย ๆ และผลิตผลงานตามที่เขาต้องการโดยเขาไม่ต้องรับคำสั่งจากใคร เหตุการณ์ดำเนินไปด้วยดีได้ไม่นานนักอาการเกี่ยวกับความสูญเสียการได้ยินมีมากขึ้นเป็นลำดับ จนถึงช่วงที่เบโธเฟน ไม่เป็นอันทำอะไรได้แต่เศร้าและเสียใจกับชะตากรรมของตนเอง และด้วยตัวของ เบโธเฟน เองหลังจากคิดหาทางออกให้กับตนเองก็พบทางออก จึงพยายามปลีกตัวจากสังสมไปพักหนึ่ง โดยได้ไปพักรักษาตัวอยู่ในหมู่บ้านแถบชานเมือง เขาได้เลือกเมือง ไฮลิเกนชตัดต์ ( Heilligenstadt ) ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงเวียนนาไปเพียงเล็กน้อย เมืองนี้เป็นเมืองที่สงบ มีทิวทัศน์ที่สวยงาม มีทุ่งเลี้ยงแกะและขุนเขาอันโอ่อ่า หลังจากที่เบโธเฟน สามารถเอาชนะความสิ้นหวังจากอาการหูหนวกได้ เขาก็กลับมายังกรุงเวีนนาอีกครั้ง พร้อมด้วยเทคนิคการประพันธ์เพลงแนวใหม่ที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกของความเป็นผู้กล้าหาญ บทเพลงของเบโธเฟนจะแสดงออกอย่างเสรี แหวกแนว ไม่ดำเนินแบบแผนดั่งเดิม เขาพยายามสร้างสรรค์ผลงานจากความสามารถและสภาพที่ตนเป็นอยู่ ซึ่งไม่ควรจะคิดยอมแพ้ตนเองแต่ประการใด ดนตรีเป็นสิ่งที่สามารถได้ยินและถ่ายทอดออกมาได้ด้วยญาณในจิตและวิญญาณ ตั้งแต่จุดนี้เป็นต้นมา เบโธเฟนจึงมีชีวิตอยู่ต่อมาได้อย่างคนปกติและผลิตผลงานชั้นเยี่ยมให้กับโลกแห่งเสียงเพลงเป็นจำนวนมาก อาการไม่ได้ยินรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุด 8 ปีก่อนเบโธเฟนเสียชีวิต เบโธเฟนก็หูหนวกสนิท นับตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1819 เป็นต้นมา อย่างไรก็ตาม เบโธเฟน ยังคงสร้างสรรค์ผลงานเสมอ จนถึงช่วงสุดท้ายของชีวิตเบโธเฟนได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ประพันธ์ชั้นเยี่ยมตลอดมา เบโธเฟน จากโลกนี้ไปในฐานะของผู้ประพันธ์เพลงผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของโลกดนตรี
ลุควิก ฟาน เบโธเฟนเป็นผู้ประพันธ์เพลงชาวเยอรมันยิ่งใหญ่ในโลกดนตรีตะวันตก เป็นผู้นำดนตรีในรูปแบบใหม่จากยุคคลาสสิกมาสู่ยุคโรแมนติก กำเนิด ณ กรุงบอนน์ ประเทศเยอรมนี เกิดในครอบครัวนักดนตรีได้สนับสนุนให้ศึกษาดนตรีตั้งแต่เยาว์ บิดาของเขาได้ส่งให้เขาเข้าโรงเรียนดนตรีอย่างจริงจังกับครูที่มีชื่อเสียงคือ คริสเตียน กอทลอบ เนเอเฟ ( Christian Gotlob Neefe ) จนกระทั้งเขาอายุได้ 11 ปี เขาได้รับตำแหน่งให้เป็นผู้ช่วยผู้บรรเลงในราชสำนักแห่งกรุงบอนน์ และได้เริ่มประพันธ์เพลงตั้งแต่อายุได้เพียงแค่ 12 ปี อย่างไรก็ตาม เบโธเฟน เติบโตมากับสภาพแวดล้อมทางดนตรี จึงทำให้เบโธเฟนรักและเรียนรู้ในเวลาต่อมาและใช้ดนตรีเป็นอาชีพจนได้รับความสำเร็จในที่สุด
นักประพันธ์บาค
โยฮัน เซบาสเตียน บาค เป็นผู้ประพันธ์เพลงที่ทรงคุณภาพ เพราะเป็นผู้สร้างสรรค์ผลงานคุณภาพในยุคบาโรคไว้อย่างมากมาย ซึ่งใช้เป็นตัวอย่างในการศึกษาทฤษฎีดนตรี ควบคู่ไปกับหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ที่บาคได้คิดสร้างเอาไว้ อย่างไรก็ตามในยุคที่บาคยังมีชีวิตอยู่ เขาเป็นผู้ที่รู้จักกันในนามของนักออร์แกนผู้ที่มีความสามารถมากกว่าเป็นผู้ประพันธ์เพลงชื่อดัง
บาคเป็นชาวเยอรมันเกิดเมื่อวันที่ 21 มีนาคม ค.ศ. 1685 เมือง Eisenach ในตระกูลนักดนตรี ได้รับการศึกษาเกี่ยวกับดนตรีจากบิดาและญาติ บิดาของเขาเป็นนักดนตรีประจำเมือง Eisenach หลังจากที่พ่อของเขาเสีย เขาได้ไปอาศัยอยู่กับพี่ชายของเขา Johann Chistoph Bach เมื่อายุเขาได้ 15 ปี เขาก็สามารถหาเลี้ยงตัวเองได้โดยการเป็นนักดนตรีออร์แกน
บาค เป็นคนที่ค่อนข้างอาจจะดื้ออยู่สักหน่อย เขาเคยโต้เถียงกับ Duke แห่ง Weimar ในหลาย ๆ เรื่องและเคยถูกจำคุกระยะหนึ่ง ในระหว่างนั้น เขาก็มีโอกาสได้เขียนเพลง Little Organ Book ซึ่งเป็นการรวบรวม Chorale Preludes บทประพันธ์สำหรับออร์แกนรากฐานเพลงร๊อค
ชีวิตของการแต่งงาน บาคแต่งงานครั้งแรก เมื่ออายุ 20 ปี ( ค.ศ. 1705 ) มีลูกด้วยกัน 7 คน ในปี ค.ศ. 1720 ภรรยาคนแรกของเขาได้เสียชีวิต เขาจึงได้แต่งานใหม่และมีลูกกับภรรยาคนที่สองอีก 13 คน บาค มีลูกทั้งหมด 20 คน จากการแต่งงานสองครั้ง ลูกชายสามคนของเขาเจริญรอยตามบิดา คือ เป็นผู้ประพันธ์เพลงและนักดนตรี ลูกชายคนโต คือ วิลเฮลม ฟรีเดมานน์ ( Wilhelm Friedemann , 1710 – 1784 ) เป็นผู้มีอัจฉริยะในดนตรีได้ประพันธ์เพลงสำหรับออร์แกนและคีย์บอร์ดไว้จำนวนหนึ่งแต่ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตของแวดวงดนตรี และตายจากโลกนี้ไปพร้อมกับความสิ้นเนื้อประดาตัว ลูกชายอีกคนหนึ่ง คือ คาร์ล ฟิลลิป เอมานูเอล ( Cart Philipp Emanuel .1714 – 1788 ) ประพันธ์เพลงสำหรับคีย์บอร์ด และซิมโฟนี ในแนวยุคคลาสสิกไว้ ซึ่งเป็นยุคที่เปียโนเข้ามาแทนที่ฮาร์ฟซิคอร์ด และ โจฮัน คริสเตียน ( Johann Christizn .1735 – 1782 ) ซึ่งไปมีชื่อเสียงในประเทศอังกฤษ ในฐานะนักแต่งเพลงซิมโฟนี คอนแชร์โต สำหรับเปียโน และโอเปรา ในแนวคลาสสิก ลูกชายบาคคนนี้เคยสอนโมทซาร์ทในขณะที่ยังเป็นเด็ก เมื่อครั้งเดินทางไปแสดงดนตรีที่ลอนดอน
เมื่อ บาค อายุได้ 18 ปี เขาก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นนักออร์แกนประจำโบสถ์ในเมืองอาร์นชตัดท์ (Arnstadt )
บาคเป็นชาวเยอรมันเกิดเมื่อวันที่ 21 มีนาคม ค.ศ. 1685 เมือง Eisenach ในตระกูลนักดนตรี ได้รับการศึกษาเกี่ยวกับดนตรีจากบิดาและญาติ บิดาของเขาเป็นนักดนตรีประจำเมือง Eisenach หลังจากที่พ่อของเขาเสีย เขาได้ไปอาศัยอยู่กับพี่ชายของเขา Johann Chistoph Bach เมื่อายุเขาได้ 15 ปี เขาก็สามารถหาเลี้ยงตัวเองได้โดยการเป็นนักดนตรีออร์แกน
บาค เป็นคนที่ค่อนข้างอาจจะดื้ออยู่สักหน่อย เขาเคยโต้เถียงกับ Duke แห่ง Weimar ในหลาย ๆ เรื่องและเคยถูกจำคุกระยะหนึ่ง ในระหว่างนั้น เขาก็มีโอกาสได้เขียนเพลง Little Organ Book ซึ่งเป็นการรวบรวม Chorale Preludes บทประพันธ์สำหรับออร์แกนรากฐานเพลงร๊อค
ชีวิตของการแต่งงาน บาคแต่งงานครั้งแรก เมื่ออายุ 20 ปี ( ค.ศ. 1705 ) มีลูกด้วยกัน 7 คน ในปี ค.ศ. 1720 ภรรยาคนแรกของเขาได้เสียชีวิต เขาจึงได้แต่งานใหม่และมีลูกกับภรรยาคนที่สองอีก 13 คน บาค มีลูกทั้งหมด 20 คน จากการแต่งงานสองครั้ง ลูกชายสามคนของเขาเจริญรอยตามบิดา คือ เป็นผู้ประพันธ์เพลงและนักดนตรี ลูกชายคนโต คือ วิลเฮลม ฟรีเดมานน์ ( Wilhelm Friedemann , 1710 – 1784 ) เป็นผู้มีอัจฉริยะในดนตรีได้ประพันธ์เพลงสำหรับออร์แกนและคีย์บอร์ดไว้จำนวนหนึ่งแต่ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตของแวดวงดนตรี และตายจากโลกนี้ไปพร้อมกับความสิ้นเนื้อประดาตัว ลูกชายอีกคนหนึ่ง คือ คาร์ล ฟิลลิป เอมานูเอล ( Cart Philipp Emanuel .1714 – 1788 ) ประพันธ์เพลงสำหรับคีย์บอร์ด และซิมโฟนี ในแนวยุคคลาสสิกไว้ ซึ่งเป็นยุคที่เปียโนเข้ามาแทนที่ฮาร์ฟซิคอร์ด และ โจฮัน คริสเตียน ( Johann Christizn .1735 – 1782 ) ซึ่งไปมีชื่อเสียงในประเทศอังกฤษ ในฐานะนักแต่งเพลงซิมโฟนี คอนแชร์โต สำหรับเปียโน และโอเปรา ในแนวคลาสสิก ลูกชายบาคคนนี้เคยสอนโมทซาร์ทในขณะที่ยังเป็นเด็ก เมื่อครั้งเดินทางไปแสดงดนตรีที่ลอนดอน
เมื่อ บาค อายุได้ 18 ปี เขาก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นนักออร์แกนประจำโบสถ์ในเมืองอาร์นชตัดท์ (Arnstadt )
ในเวลาต่อมาเป็นนักออร์แกนและหัวหน้าวงประสานเสียงตามโบสถ์สำหรับศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์หลายแห่ง สุดท้ายประจำที่โบสถ์เซนต์โธมัส ที่เมืองไลพ์ซิค ซึ่งบาคเสียชีวิตที่นี่ ในช่วงชีวิตของบาค ทุกคนรู้จักเขาในฐานะนักออร์แกนและนักดนตรีที่มีชื่อเสียง แต่มิได้รับการยกย่องในฐานะนักประพันธ์เพลงชั้นเยี่ยมแต่ประการใด
เมื่อ บาค อายุได้ 23 ปี เขาได้รับตำแหน่งที่สำคัญคือเป็นนักออร์แกนประจำราชสำนักของ ดยุค แห่งไวมาร์ ( Duke of Weimar ) ในขณะที่ บาค ทำงานรับใช้ราชสำนักต่าง ๆ เขาได้มีโอกาสประพันธ์เพลงสำหรับดนตรีแชมเบอร์จำนวนมากแต่เอกสารโน้ตเพลงต่าง ๆ ของเขาได้สูญหายไปเป็นจำนวนมาก ปัจจุบันคงเหลือไว้ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เช่น บทประพันธ์โซนาตาสำหรับเดี่ยวไวโอลิน และปาร์ติตา ( Unaccompanied ) 6 บท บทประพันธ์สำหรับคีย์บอร์ดและไวโอลิน 6 บท โซนาตาสำหรับไวโอลินและคอนตินูโอ 2 บท โซนาตาสำหรับฮาร์พซิคอร์ตและวิโอลา 3 บท โซนาตาสำหรับฟลุทเดี่ยว 1 บท นอกจากนี้ ยังมีบทประพันธ์ The Musical Offering ซึ่งเป็นบทประพันธ์ที่ใช้เทคนิคลีลา การสอดประสานทำนองแบบฟิวก์ที่มีถึง 6 แนวเสียง อันประกอบด้วย แคนอน 10 บท และโซนาตาสำหรับฟลุท ไวโอลินและเบสคอนตินูโอ
นักประพันธ์โมทซาร์ท
โวล์ฟกัง อมาเดอุส โมทซาร์ทเป็นอัจฉริยะทางโลกดนตรีอย่างแท้จริง ที่หลายต่อหลายคนขนานนามเขาว่าเป็น “ นักดนตรีแห่งนักดนตรี ” แต่ชีวิตของเขานับเป็นเรื่องที่น่าเศร้าอย่างมาก โมทซาร์ท เป็นผู้ประพันธ์เพลงยิ่งใหญ่อีกผู้หนึ่งในยุคคลาสสิกเป็นชาวออสเตรีย โมทซาร์ทกำเนิดในครอบครัวนักดนตรี เมืองซาลซ์บวร์ก พ่อของเขาเป็นผู้อำนวยการดนตรีให้กับนักบวชระดับอาร์บิชอปองค์หนึ่ง เมื่อเขาอายุได้ 3 ขวบ โมทซาร์ทได้แสดงความสนใจในบทเรียนดนตรีของพี่สาว ซึ่งผู้เป็นพ่อเมื่อเห็นว่าลูกชายตัวน้อย ๆ สนใจในการดนตรี ก็เลยสอนดนตรีให้ทุกวัน โมทซาร์ท เริ่มชีวิตเป็นนักดนตรีเมื่ออายุ 5 ขวบ ด้วยความเป็นอัจฉริยะ เขาเริ่มแสดงดนตรีโดยเล่นเครื่องดนตรีเปียโนโบราณที่เล่นโดยการดีดสาย ( Harpsichord ) ได้เป็นอย่างดี และยังสามารถแต่งเพลงสั้น ๆ ได้อีกด้วยเมื่ออายุ 6 ขวบ
เมื่อโมทซาร์ท อายุได้ 7 ปี เขาได้เดินทางไปแสดงดนตรี ร่วมกับสมาชิกในครอบครัวของเขาหลายต่อหลายแห่งในออสเตรีย โมซาร์สเป็นเด็กที่น่ารักมาก ครั้งหนึ่งเขาไปแสดงดนตรีในวังของจักรพรรดิในกรุงเวียนนา เขาบังเอิญลื่นล้ม ก็มีวัยรุ่นสาวคนหนึ่งเข้ามาอุ้มให้เขาลุกขึ้น เขาก็พูดว่า “ คุณใจดีจังเลยครับ เมื่อผมโตขึ้น ผมจะแต่งงานกับคุณ ” และ หญิงสาวคนนั้นก็คือ มารี อังตัวแนตต์ ซึ่งต่อมาได้เป็นราชินีของฝรั่งเศสนั้นเอง
ครั้นพออายุได้ 13 ปี เขาได้เดินทางไปแสดงดนตรีทั่วประเทศอิตาลีถึง 2 ปี เมื่ออยู่ที่กรุงโรมเขได้ไปที่โบสถ์ของพระสันตะปาปา ( Sistine Chapel ) และได้ฟังดนตรีที่มีชื่อเสียงบทหนึ่งซึ่งไม่เคยมีการบันทึกโน้ทเพลงเอาไว้ แต่หลังจากโมซาร์ท์ได้ฟังเพลงนี้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น เขาก็สามารถเขียนโน้ตลงไปได้หมดจากความทรงจำของเขา และที่โรมนี่เองที่พระสันตะปาปาได้ประสาทเครื่องราชอิสริยาภรณ์ระดับ Gold Spur ซึ่งทำให้เขาได้เป็นอัศวินเมื่ออายุได้เพียง 13 ปี เท่านั้น นอกจากนี้ โมทซาร์ทก็มีผลงานการประพันธ์เพลง โซนาตา คอนแชร์โต ซิมโฟนี เพลงวัดประเภทต่าง ๆ โอเปราชวนหัว และ โอเปเรตตา
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)