วันจันทร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

นักประพันธ์เบโธเฟน

         
          เบโธเฟน  เมื่ออายุได้  16  ปี  มีโอกาสเดินทางไปยังกรุงเวียนนาซึ่งเป็นแหล่งที่มีนักดนตรีที่มีชื่อเสียง  และได้พบกับโมทซาร์ทนักดนตรีผู้ยิ่งใหญ่ในช่วงนั้น  หลังจากนั้นก็ได้เดินทางกลับมายังกรุงบอนน์เนื่องจากมารดาของเขาป่วยหนักและได้เสียชีวิตลงในที่สุด  ครั้นพออายุได้  18  ปี  เบโธเฟน ได้รับตำแหน่งนักออร์แกนและนักไวโอลินประจำราชสำนักบอนน์ 
          เบโธเฟน  เดินทางมาตั้งรกรากที่เวียนนาเมื่ออายุได้  22  ปี  ( ค.ศ. 1792 )  หลังจากเคยมาเวียนนาและมีโอกาสเล่นเปียโนให้โมทซาร์ทฟัง  ซึ่งเมื่อโทซาร์ทได้ฟังฝีมือเบโธเฟนกับเพื่อนว่า  เบโธเฟนจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในโลกดนตรีต่อไป  เมื่อเบโธเฟนมาอยู่เวียนนาเป็นการถาวร  มีโอกาสศึกษาดนตรีกับไฮเดินพักหนึ่งและไปศึกษากับโยฮันน์  จอร์ช  อัลเบรคส์เบอเกอร์  ( Johann  George  Albrechtsberger )  อยู่เป็นเวลา  2  ปี  และได้ใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงเวียนนาจนกระทั้งวาระสุดท้ายของชีวิต
          ภายหลังการใช้ชีวิตในกรุงเวียนนา  7  ปีแรกเขาทำงานหนักในการสร้างความมั่นใจให้กันตัวเองและต่อสาธารณชน  เบโธเฟนได้ตระเวณเล่นดนตรีไปตามสถานที่ต่าง ๆ จนชื่อเสียงทางการบรรเลงเปียโน  จนเป็นที่รู้จักกันทั่วกรุงเวียนนาและได้้มีลูกศิษย์ที่เป็นชนชั้นสูงจำนวนมาก  จนกระทั้งได้มีโอกาสพบกับท่านเคาน์วาลชไตน์  ( Count  Waidstein )  ที่พาเขาเข้าไปแนะนำกับพวกผู้ดีมีตระกูลซึ่งเป็นชนชั้นสูงของกรุงเวียนนา  จากความสามารถของเบโธเฟนนี้เองที่ทำให้เจ้าชายและเจ้าหญิงลิคนอฟสกี ได้เชิญให้เขาไปพำนักอยู่ในวังและรับเป็นผู้อุปถัมภ์ทางการเงิน 
          เบโธเฟน เป็นผู้หนึ่่งที่พยายามจะอยู่ด้วยตัวเองโดยการขายบทเพลง  ไม่ต้องการรับใช้ใครตั้งแต่เริ่มต้นอาชีพเป็นนักประพันธ์เพลง  ซึ่งโมทซาร์ทเคยพยายามมาแล้วแต่ไม่ประสบความสำเร็จ  เบโธเฟน ก็เช่นกันประสบกับปัญหาทางการเงินมาโดยตลอดในช่วงแรกนี้    ในที่สุด  กลุ่มผู้ชื่นชมในผลงานของเบโธเฟนรวมตัวกันเพื่อให้การสนับสนุน  ถ้าเบโธเฟน ขาดแคลนเรื่องการเงิน  โดยมีข้อสัญญาว่า  เบโธเฟน  ต้องอยู่ในเวียนนา  เบโธเฟน  ยอมรับเงื่อนไขนี้  ซึ่งทำให้เขาสามารถอยู่ได้อย่างสบาย ๆ และผลิตผลงานตามที่เขาต้องการโดยเขาไม่ต้องรับคำสั่งจากใคร  เหตุการณ์ดำเนินไปด้วยดีได้ไม่นานนักอาการเกี่ยวกับความสูญเสียการได้ยินมีมากขึ้นเป็นลำดับ  จนถึงช่วงที่เบโธเฟน ไม่เป็นอันทำอะไรได้แต่เศร้าและเสียใจกับชะตากรรมของตนเอง  และด้วยตัวของ เบโธเฟน เองหลังจากคิดหาทางออกให้กับตนเองก็พบทางออก  จึงพยายามปลีกตัวจากสังสมไปพักหนึ่ง  โดยได้ไปพักรักษาตัวอยู่ในหมู่บ้านแถบชานเมือง  เขาได้เลือกเมือง ไฮลิเกนชตัดต์  ( Heilligenstadt ) ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงเวียนนาไปเพียงเล็กน้อย  เมืองนี้เป็นเมืองที่สงบ  มีทิวทัศน์ที่สวยงาม  มีทุ่งเลี้ยงแกะและขุนเขาอันโอ่อ่า  หลังจากที่เบโธเฟน สามารถเอาชนะความสิ้นหวังจากอาการหูหนวกได้  เขาก็กลับมายังกรุงเวีนนาอีกครั้ง  พร้อมด้วยเทคนิคการประพันธ์เพลงแนวใหม่ที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกของความเป็นผู้กล้าหาญ  บทเพลงของเบโธเฟนจะแสดงออกอย่างเสรี  แหวกแนว  ไม่ดำเนินแบบแผนดั่งเดิม  เขาพยายามสร้างสรรค์ผลงานจากความสามารถและสภาพที่ตนเป็นอยู่  ซึ่งไม่ควรจะคิดยอมแพ้ตนเองแต่ประการใด    ดนตรีเป็นสิ่งที่สามารถได้ยินและถ่ายทอดออกมาได้ด้วยญาณในจิตและวิญญาณ  ตั้งแต่จุดนี้เป็นต้นมา  เบโธเฟนจึงมีชีวิตอยู่ต่อมาได้อย่างคนปกติและผลิตผลงานชั้นเยี่ยมให้กับโลกแห่งเสียงเพลงเป็นจำนวนมาก  อาการไม่ได้ยินรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุด  8  ปีก่อนเบโธเฟนเสียชีวิต  เบโธเฟนก็หูหนวกสนิท  นับตั้งแต่ ปี  ค.ศ.  1819  เป็นต้นมา    อย่างไรก็ตาม  เบโธเฟน ยังคงสร้างสรรค์ผลงานเสมอ  จนถึงช่วงสุดท้ายของชีวิตเบโธเฟนได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ประพันธ์ชั้นเยี่ยมตลอดมา  เบโธเฟน จากโลกนี้ไปในฐานะของผู้ประพันธ์เพลงผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของโลกดนตรี
ลุควิก  ฟาน  เบโธเฟนเป็นผู้ประพันธ์เพลงชาวเยอรมันยิ่งใหญ่ในโลกดนตรีตะวันตก  เป็นผู้นำดนตรีในรูปแบบใหม่จากยุคคลาสสิกมาสู่ยุคโรแมนติก  กำเนิด  ณ  กรุงบอนน์  ประเทศเยอรมนี  เกิดในครอบครัวนักดนตรีได้สนับสนุนให้ศึกษาดนตรีตั้งแต่เยาว์  บิดาของเขาได้ส่งให้เขาเข้าโรงเรียนดนตรีอย่างจริงจังกับครูที่มีชื่อเสียงคือ  คริสเตียน  กอทลอบ  เนเอเฟ  ( Christian  Gotlob  Neefe )  จนกระทั้งเขาอายุได้  11  ปี  เขาได้รับตำแหน่งให้เป็นผู้ช่วยผู้บรรเลงในราชสำนักแห่งกรุงบอนน์  และได้เริ่มประพันธ์เพลงตั้งแต่อายุได้เพียงแค่  12  ปี   อย่างไรก็ตาม  เบโธเฟน เติบโตมากับสภาพแวดล้อมทางดนตรี  จึงทำให้เบโธเฟนรักและเรียนรู้ในเวลาต่อมาและใช้ดนตรีเป็นอาชีพจนได้รับความสำเร็จในที่สุด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น