วันจันทร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

โรงอุปรากรซิดนีย์

ก่อนที่จะมีการก่อสร้าง Sydney Opera House ขึ้น ซิดนีย์ไม่มีสถานที่ที่เหมาะสมเพียงพอในการเปิดแสดงดนตรีและการแสดงต่างๆ ชาวเมืองใช้ที่ว่าการของเมืองเป็นที่จัดแสดง แต่เวทีการแสดงก็ยังไม่มีความสมบูรณ์และเหมาะสมอยู่ดี ครั้นเมื่อ Sir Eugene Goosens ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าวาทยากรของวงดุริยางค์ Sydney Symphony Orchestra และดำรงตำแหน่งกรรมการของ NSW Conservatorium of Music ในปี 1947 จึงได้มีแนวความคิดที่จะสร้างสถานที่จัดแสดงทางศิลปะแห่งใหม่ ซึ่งรวมถึงการแสดงคอนเสริต ดุริยางคศิลป์และโอเปร่า เข้าด้วยกันในที่ที่เดียว

                แนวความคิดนี้ต้องใช้เวลาหลายปีก่อนที่จะเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา  ด้วยความยากลำบากทางเศรษฐกิจหลังสงคราม  จนกระทั่งผ่านมาจนถึงปี 1954 ผู้ว่าการรัฐในตอนนั้น คือ พณฯ ท่าน Joseph Cahill ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อดำเนินการ พร้อมกับการจัดหาทุนในการก่อสร้างจำนวน 7 ล้านเหรียญ ซึ่งเป็นจำนวนประมาณการในตอนนั้น แรกเริ่มคณะกรรมการหาเงินทุนมาได้เพียง 9 แสนเหรียญ ผู้ว่า Joseph Cahill เลยต้องหาวิธีการใหม่ มาสรุปกันด้วยการออกล๊อตเตอรี่การกุศลขึ้นในการหาทุนสร้าง กล่าวได้ว่าการก่อสร้างโรงละครแห่งนี้สำเร็จลงได้ก็เพราะเงินกำไรจากกการขายล๊อตเตอรี่นี่แหละ และเมื่อการก่อสร้างสร็จสิ้นลงค่าก่อสร้างเบ็ดเสร็จรวมแล้วถึง 102 ล้านเหรียญทีเดียว


ตัวอย่างบทประพันธ์โอเปร่าที่สำคัญ

  • 1. Opera, Serious Opera
    • Don Giovanni โดย โมซาร์ท
    • The Magic Flute โดย โมซาร์ท
    • Alceste โดย กลุ๊ค
    • La Bohème โดย ปุชชีนี
    • Hensel and Gretel โดย ฮัมเปอร์ดิง
    • Julius Caesar โดย ฮันเดล
    • Lohengrin โดย วากเนอร์
    • Madama Butterfly โดย ปุชชีนี
    • The Mastersingers of Nuremberg โดย วากเนอร์
    • Norma โดย เบลลินี
    • Orpheus and Eurydice โดย กลุ๊ค
    • Otello โดย แวร์ดี
    • Parsifal โดย วากเนอร์
    • Pelleas et Melisande โดย เดอบูสซี
    • Prince Igor โดย โบโรดิน
    • The Rake's Progress โดย สตราวินสกี
    • Rigoletto โดย แวร์ดี
    • The Ring of the Nibelung (โอเปร่า 4 เรื่อง) โดย วากเนอร์
    • Romeo et Juleitte โดย กูโน
    • The Tale of Hoffmann โดย ออฟเฟนบาค
    • La Tosca โดย ปุชชินี
    • Tristan and Isolde โดย วากเนอร์
    • La Traviata โดย แวร์ดี
    • William Tell โดย รอสชินี
  • 2. Comic Opera, Operetta
    • The Abduction From The Seraglio โดย โมซาร์ท
    • The Barber of Seville โดย รอสชินี
    • The Bartered Bride โดย สเมนตานา
    • Die Fledermaus โดย โยฮัน สเตราส์
    • Hary Janos โดย โคดาย
    • H.M.S. Pinafore โดย กิลเบิร์ต และซัลลิแวน
    • The Marriage of Figaro โดย โมซาร์ท

น้ำเสียงที่ใช้ในการขับร้อง

น้ำเสียงที่ใช้ในการขับร้องแบ่งเป็น 6 ระดับเสียง คือ เป็นน้ำเสียงนักร้องชาย 3 ระดับ และน้ำเสียงนักร้องหญิง 3 ระดับ ดังนี้
1. โซปราโน (Soprano) เป็นระดับเสียงสูงสุดของนักร้องหญิง
2. เมซโซโซปราโน (Mezzo - Soprano) เป็นระดับเสียงกลางของนักร้องหญิง
3. คอนทรัลโต หรือ อัลโต (Contralto or Alto) เป็นเสียงระดับต่ำสุดของนักร้องหญิง
4. เทเนอร์ (Tenor) เป็นเสียงระดับสูงสุดของนักร้องชาย
5. บาริโทน (Baritone) เป็นเสียงระดับกลางของนักร้องชาย
6. เบส (Bass) เป็นเสียงระดับต่ำสุดของนักร้องชาย

องค์ประกอบของโอเปร่า

องค์ประกอบของโอเปร่า

  • 1. เนื้อเรื่อง เนื้อเรื่องที่นำมาเป็นบทขับร้อง เป็นบทร้อยกรองที่มาจากตำนาน เทพนิยายนิทานโบราณ และวรรณกรรมต่าง ๆ ที่มีชื่อเสียงมาทำเป็นบทร้อง และที่แต่งขึ้นใหม่สำหรับแสดงโอเปร่าโดยเฉพาะ โดยมีคีตกวีเป็นผู้แต่งทำนองดนตรี คีตกวีบางคนก็มีความสามารถแต่งเรื่องทำเนื้อเรื่องให้เป็นบทร้อยกรองหรือบทละครสำหรับขับร้อง และแต่งดนตรีประกอบทั้งเรื่องด้วย
  • 2. ดนตรี ดนตรีในโอเปร่านั้นเป็นปัจจัยที่ทำให้โอเปรามีชีวิตจิตใจ มักเริ่มด้วยดนตรีบรรเลงโหมโรง (Overture) บรรเลงประกอบบทร้อยกรองซึ่งเป็นบทขับร้อง ทั้งดำเนินเรื่องและเจรจากันตลอดทั้งเรื่อง ดนตรีเป็นองค์ประกอบสำคัญ จนโอเปร่าได้รับการยกย่องให้เป็นผลงานของผู้ประพันธ์ดนตรี หรือ คีตกวี (Composer) มากกว่าที่จะคิดถึงผู้ประพันธ์เนื้อเรื่อง หรือ บทขับร้อง เช่น โอเปร่าเรื่อง Madame Butterfly ของ Giacomo Puccini (1878-1924) ปุชชีนี เป็นคีตกวีที่แต่งดนตรีประกอบ ผู้แต่งละครเรื่องมาดามบัตเตอร์ฟลาย คือ David Belasco (David Belasco ได้เค้าเรื่องนี้จากเรื่องสั้นของ John Luther Long) ผู้ร้อยกรองเนื้อเรื่องให้เป็นบทขับร้อง คือ Luigi lllica และ Giuseppe Giacosa แต่เมื่อพูดถึงโอเปร่าเรื่องมาดามบัตเตอร์ฟลายแล้ว ก็จะยกย่องให้เป็นผลงานของคีตกวีปุชชินี มักไม่มีใครนึกถึงนักประพันธ์ หรือ กวีผู้ร้อยกรองเรื่องให้เป็นบทขับร้อง หรือโอเปร่าเรื่อง คาร์เมน (Carmen) ของ บิเซต์ (Georges Bizet) ที่มี Prosper Merimee เป็นผู้ประพันธ์เรื่อง และมี Henri Meilhac และ Ludovic Halevy เป็นผู้ร้อยกรองบทขับร้อง แต่คนก็จะพูดกันถึงแต่เพียงว่าโอเปร่าเรื่องคาร์เมนของบิเซต์ ดนตรีที่ใช้บรรเลงประกอบเป็นวงออร์เคสตรา (Orchertral)
  • 3. ผู้แสดง ผู้แสดงโอเปร่านอกจากต้องเป็นนักร้องที่เสียงไพเราะดังแจ่มใสกังวาน มีพลังเสียงดี แข็งแรงร้องได้นาน ต้องฝึกฝนเป็นนักร้องอุปรากรโดยเฉพาะ ยังเป็นผู้มีบทบาทยอดเยี่ยมด้วย เน้นในเรื่องน้ำเสียง ความสามารถในการขับร้องและบทบาทมากกว่าความสวยงามและรูปร่างของผู้แสดง มักให้นักร้องเสียงสูงทั้งหญิงและชายแสดงเป็นตัวเอกของเรื่อง โดยทั่วไป

นักประพันธ์เบโธเฟน

         
          เบโธเฟน  เมื่ออายุได้  16  ปี  มีโอกาสเดินทางไปยังกรุงเวียนนาซึ่งเป็นแหล่งที่มีนักดนตรีที่มีชื่อเสียง  และได้พบกับโมทซาร์ทนักดนตรีผู้ยิ่งใหญ่ในช่วงนั้น  หลังจากนั้นก็ได้เดินทางกลับมายังกรุงบอนน์เนื่องจากมารดาของเขาป่วยหนักและได้เสียชีวิตลงในที่สุด  ครั้นพออายุได้  18  ปี  เบโธเฟน ได้รับตำแหน่งนักออร์แกนและนักไวโอลินประจำราชสำนักบอนน์ 
          เบโธเฟน  เดินทางมาตั้งรกรากที่เวียนนาเมื่ออายุได้  22  ปี  ( ค.ศ. 1792 )  หลังจากเคยมาเวียนนาและมีโอกาสเล่นเปียโนให้โมทซาร์ทฟัง  ซึ่งเมื่อโทซาร์ทได้ฟังฝีมือเบโธเฟนกับเพื่อนว่า  เบโธเฟนจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในโลกดนตรีต่อไป  เมื่อเบโธเฟนมาอยู่เวียนนาเป็นการถาวร  มีโอกาสศึกษาดนตรีกับไฮเดินพักหนึ่งและไปศึกษากับโยฮันน์  จอร์ช  อัลเบรคส์เบอเกอร์  ( Johann  George  Albrechtsberger )  อยู่เป็นเวลา  2  ปี  และได้ใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงเวียนนาจนกระทั้งวาระสุดท้ายของชีวิต
          ภายหลังการใช้ชีวิตในกรุงเวียนนา  7  ปีแรกเขาทำงานหนักในการสร้างความมั่นใจให้กันตัวเองและต่อสาธารณชน  เบโธเฟนได้ตระเวณเล่นดนตรีไปตามสถานที่ต่าง ๆ จนชื่อเสียงทางการบรรเลงเปียโน  จนเป็นที่รู้จักกันทั่วกรุงเวียนนาและได้้มีลูกศิษย์ที่เป็นชนชั้นสูงจำนวนมาก  จนกระทั้งได้มีโอกาสพบกับท่านเคาน์วาลชไตน์  ( Count  Waidstein )  ที่พาเขาเข้าไปแนะนำกับพวกผู้ดีมีตระกูลซึ่งเป็นชนชั้นสูงของกรุงเวียนนา  จากความสามารถของเบโธเฟนนี้เองที่ทำให้เจ้าชายและเจ้าหญิงลิคนอฟสกี ได้เชิญให้เขาไปพำนักอยู่ในวังและรับเป็นผู้อุปถัมภ์ทางการเงิน 
          เบโธเฟน เป็นผู้หนึ่่งที่พยายามจะอยู่ด้วยตัวเองโดยการขายบทเพลง  ไม่ต้องการรับใช้ใครตั้งแต่เริ่มต้นอาชีพเป็นนักประพันธ์เพลง  ซึ่งโมทซาร์ทเคยพยายามมาแล้วแต่ไม่ประสบความสำเร็จ  เบโธเฟน ก็เช่นกันประสบกับปัญหาทางการเงินมาโดยตลอดในช่วงแรกนี้    ในที่สุด  กลุ่มผู้ชื่นชมในผลงานของเบโธเฟนรวมตัวกันเพื่อให้การสนับสนุน  ถ้าเบโธเฟน ขาดแคลนเรื่องการเงิน  โดยมีข้อสัญญาว่า  เบโธเฟน  ต้องอยู่ในเวียนนา  เบโธเฟน  ยอมรับเงื่อนไขนี้  ซึ่งทำให้เขาสามารถอยู่ได้อย่างสบาย ๆ และผลิตผลงานตามที่เขาต้องการโดยเขาไม่ต้องรับคำสั่งจากใคร  เหตุการณ์ดำเนินไปด้วยดีได้ไม่นานนักอาการเกี่ยวกับความสูญเสียการได้ยินมีมากขึ้นเป็นลำดับ  จนถึงช่วงที่เบโธเฟน ไม่เป็นอันทำอะไรได้แต่เศร้าและเสียใจกับชะตากรรมของตนเอง  และด้วยตัวของ เบโธเฟน เองหลังจากคิดหาทางออกให้กับตนเองก็พบทางออก  จึงพยายามปลีกตัวจากสังสมไปพักหนึ่ง  โดยได้ไปพักรักษาตัวอยู่ในหมู่บ้านแถบชานเมือง  เขาได้เลือกเมือง ไฮลิเกนชตัดต์  ( Heilligenstadt ) ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงเวียนนาไปเพียงเล็กน้อย  เมืองนี้เป็นเมืองที่สงบ  มีทิวทัศน์ที่สวยงาม  มีทุ่งเลี้ยงแกะและขุนเขาอันโอ่อ่า  หลังจากที่เบโธเฟน สามารถเอาชนะความสิ้นหวังจากอาการหูหนวกได้  เขาก็กลับมายังกรุงเวีนนาอีกครั้ง  พร้อมด้วยเทคนิคการประพันธ์เพลงแนวใหม่ที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกของความเป็นผู้กล้าหาญ  บทเพลงของเบโธเฟนจะแสดงออกอย่างเสรี  แหวกแนว  ไม่ดำเนินแบบแผนดั่งเดิม  เขาพยายามสร้างสรรค์ผลงานจากความสามารถและสภาพที่ตนเป็นอยู่  ซึ่งไม่ควรจะคิดยอมแพ้ตนเองแต่ประการใด    ดนตรีเป็นสิ่งที่สามารถได้ยินและถ่ายทอดออกมาได้ด้วยญาณในจิตและวิญญาณ  ตั้งแต่จุดนี้เป็นต้นมา  เบโธเฟนจึงมีชีวิตอยู่ต่อมาได้อย่างคนปกติและผลิตผลงานชั้นเยี่ยมให้กับโลกแห่งเสียงเพลงเป็นจำนวนมาก  อาการไม่ได้ยินรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุด  8  ปีก่อนเบโธเฟนเสียชีวิต  เบโธเฟนก็หูหนวกสนิท  นับตั้งแต่ ปี  ค.ศ.  1819  เป็นต้นมา    อย่างไรก็ตาม  เบโธเฟน ยังคงสร้างสรรค์ผลงานเสมอ  จนถึงช่วงสุดท้ายของชีวิตเบโธเฟนได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ประพันธ์ชั้นเยี่ยมตลอดมา  เบโธเฟน จากโลกนี้ไปในฐานะของผู้ประพันธ์เพลงผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของโลกดนตรี
ลุควิก  ฟาน  เบโธเฟนเป็นผู้ประพันธ์เพลงชาวเยอรมันยิ่งใหญ่ในโลกดนตรีตะวันตก  เป็นผู้นำดนตรีในรูปแบบใหม่จากยุคคลาสสิกมาสู่ยุคโรแมนติก  กำเนิด  ณ  กรุงบอนน์  ประเทศเยอรมนี  เกิดในครอบครัวนักดนตรีได้สนับสนุนให้ศึกษาดนตรีตั้งแต่เยาว์  บิดาของเขาได้ส่งให้เขาเข้าโรงเรียนดนตรีอย่างจริงจังกับครูที่มีชื่อเสียงคือ  คริสเตียน  กอทลอบ  เนเอเฟ  ( Christian  Gotlob  Neefe )  จนกระทั้งเขาอายุได้  11  ปี  เขาได้รับตำแหน่งให้เป็นผู้ช่วยผู้บรรเลงในราชสำนักแห่งกรุงบอนน์  และได้เริ่มประพันธ์เพลงตั้งแต่อายุได้เพียงแค่  12  ปี   อย่างไรก็ตาม  เบโธเฟน เติบโตมากับสภาพแวดล้อมทางดนตรี  จึงทำให้เบโธเฟนรักและเรียนรู้ในเวลาต่อมาและใช้ดนตรีเป็นอาชีพจนได้รับความสำเร็จในที่สุด

นักประพันธ์บาค

              โยฮัน  เซบาสเตียน  บาค  เป็นผู้ประพันธ์เพลงที่ทรงคุณภาพ  เพราะเป็นผู้สร้างสรรค์ผลงานคุณภาพในยุคบาโรคไว้อย่างมากมาย     ซึ่งใช้เป็นตัวอย่างในการศึกษาทฤษฎีดนตรี  ควบคู่ไปกับหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ที่บาคได้คิดสร้างเอาไว้  อย่างไรก็ตามในยุคที่บาคยังมีชีวิตอยู่  เขาเป็นผู้ที่รู้จักกันในนามของนักออร์แกนผู้ที่มีความสามารถมากกว่าเป็นผู้ประพันธ์เพลงชื่อดัง
               บาคเป็นชาวเยอรมันเกิดเมื่อวันที่  21  มีนาคม  ค.ศ.  1685  เมือง Eisenach ในตระกูลนักดนตรี  ได้รับการศึกษาเกี่ยวกับดนตรีจากบิดาและญาติ  บิดาของเขาเป็นนักดนตรีประจำเมือง Eisenach หลังจากที่พ่อของเขาเสีย  เขาได้ไปอาศัยอยู่กับพี่ชายของเขา  Johann  Chistoph  Bach  เมื่อายุเขาได้  15  ปี  เขาก็สามารถหาเลี้ยงตัวเองได้โดยการเป็นนักดนตรีออร์แกน
               บาค เป็นคนที่ค่อนข้างอาจจะดื้ออยู่สักหน่อย  เขาเคยโต้เถียงกับ  Duke  แห่ง  Weimar  ในหลาย ๆ เรื่องและเคยถูกจำคุกระยะหนึ่ง  ในระหว่างนั้น  เขาก็มีโอกาสได้เขียนเพลง  Little  Organ  Book  ซึ่งเป็นการรวบรวม  Chorale  Preludes  บทประพันธ์สำหรับออร์แกนรากฐานเพลงร๊อค
              ชีวิตของการแต่งงาน  บาคแต่งงานครั้งแรก เมื่ออายุ  20  ปี  ( ค.ศ.  1705 ) มีลูกด้วยกัน  7  คน   ในปี ค.ศ. 1720  ภรรยาคนแรกของเขาได้เสียชีวิต  เขาจึงได้แต่งานใหม่และมีลูกกับภรรยาคนที่สองอีก  13  คน  บาค  มีลูกทั้งหมด  20  คน  จากการแต่งงานสองครั้ง  ลูกชายสามคนของเขาเจริญรอยตามบิดา  คือ  เป็นผู้ประพันธ์เพลงและนักดนตรี  ลูกชายคนโต  คือ  วิลเฮลม  ฟรีเดมานน์  ( Wilhelm  Friedemann , 1710 – 1784 )  เป็นผู้มีอัจฉริยะในดนตรีได้ประพันธ์เพลงสำหรับออร์แกนและคีย์บอร์ดไว้จำนวนหนึ่งแต่ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตของแวดวงดนตรี  และตายจากโลกนี้ไปพร้อมกับความสิ้นเนื้อประดาตัว  ลูกชายอีกคนหนึ่ง คือ  คาร์ล  ฟิลลิป  เอมานูเอล  ( Cart  Philipp  Emanuel .1714 – 1788 )  ประพันธ์เพลงสำหรับคีย์บอร์ด และซิมโฟนี  ในแนวยุคคลาสสิกไว้  ซึ่งเป็นยุคที่เปียโนเข้ามาแทนที่ฮาร์ฟซิคอร์ด และ  โจฮัน   คริสเตียน  ( Johann  Christizn .1735 – 1782 )  ซึ่งไปมีชื่อเสียงในประเทศอังกฤษ  ในฐานะนักแต่งเพลงซิมโฟนี  คอนแชร์โต  สำหรับเปียโน  และโอเปรา  ในแนวคลาสสิก  ลูกชายบาคคนนี้เคยสอนโมทซาร์ทในขณะที่ยังเป็นเด็ก  เมื่อครั้งเดินทางไปแสดงดนตรีที่ลอนดอน
              เมื่อ บาค อายุได้  18  ปี  เขาก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นนักออร์แกนประจำโบสถ์ในเมืองอาร์นชตัดท์  (Arnstadt ) 
ในเวลาต่อมาเป็นนักออร์แกนและหัวหน้าวงประสานเสียงตามโบสถ์สำหรับศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์หลายแห่ง  สุดท้ายประจำที่โบสถ์เซนต์โธมัส  ที่เมืองไลพ์ซิค  ซึ่งบาคเสียชีวิตที่นี่  ในช่วงชีวิตของบาค  ทุกคนรู้จักเขาในฐานะนักออร์แกนและนักดนตรีที่มีชื่อเสียง  แต่มิได้รับการยกย่องในฐานะนักประพันธ์เพลงชั้นเยี่ยมแต่ประการใด
             เมื่อ บาค อายุได้  23  ปี เขาได้รับตำแหน่งที่สำคัญคือเป็นนักออร์แกนประจำราชสำนักของ ดยุค แห่งไวมาร์   ( Duke  of  Weimar )  ในขณะที่ บาค ทำงานรับใช้ราชสำนักต่าง ๆ เขาได้มีโอกาสประพันธ์เพลงสำหรับดนตรีแชมเบอร์จำนวนมากแต่เอกสารโน้ตเพลงต่าง ๆ ของเขาได้สูญหายไปเป็นจำนวนมาก  ปัจจุบันคงเหลือไว้ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น  เช่น  บทประพันธ์โซนาตาสำหรับเดี่ยวไวโอลิน  และปาร์ติตา  ( Unaccompanied )  6  บท    บทประพันธ์สำหรับคีย์บอร์ดและไวโอลิน  6  บท  โซนาตาสำหรับไวโอลินและคอนตินูโอ  2  บท  โซนาตาสำหรับฮาร์พซิคอร์ตและวิโอลา  3  บท  โซนาตาสำหรับฟลุทเดี่ยว  1  บท  นอกจากนี้  ยังมีบทประพันธ์  The  Musical  Offering  ซึ่งเป็นบทประพันธ์ที่ใช้เทคนิคลีลา  การสอดประสานทำนองแบบฟิวก์ที่มีถึง  6  แนวเสียง  อันประกอบด้วย  แคนอน  10  บท  และโซนาตาสำหรับฟลุท  ไวโอลินและเบสคอนตินูโอ

นักประพันธ์โมทซาร์ท

          โวล์ฟกัง  อมาเดอุส  โมทซาร์ทเป็นอัจฉริยะทางโลกดนตรีอย่างแท้จริง  ที่หลายต่อหลายคนขนานนามเขาว่าเป็น  “ นักดนตรีแห่งนักดนตรี ”  แต่ชีวิตของเขานับเป็นเรื่องที่น่าเศร้าอย่างมาก   โมทซาร์ท    เป็นผู้ประพันธ์เพลงยิ่งใหญ่อีกผู้หนึ่งในยุคคลาสสิกเป็นชาวออสเตรีย    โมทซาร์ทกำเนิดในครอบครัวนักดนตรี   เมืองซาลซ์บวร์ก   พ่อของเขาเป็นผู้อำนวยการดนตรีให้กับนักบวชระดับอาร์บิชอปองค์หนึ่ง   เมื่อเขาอายุได้  3  ขวบ  โมทซาร์ทได้แสดงความสนใจในบทเรียนดนตรีของพี่สาว  ซึ่งผู้เป็นพ่อเมื่อเห็นว่าลูกชายตัวน้อย ๆ สนใจในการดนตรี  ก็เลยสอนดนตรีให้ทุกวัน โมทซาร์ท  เริ่มชีวิตเป็นนักดนตรีเมื่ออายุ  5  ขวบ  ด้วยความเป็นอัจฉริยะ  เขาเริ่มแสดงดนตรีโดยเล่นเครื่องดนตรีเปียโนโบราณที่เล่นโดยการดีดสาย  ( Harpsichord ) ได้เป็นอย่างดี  และยังสามารถแต่งเพลงสั้น ๆ ได้อีกด้วยเมื่ออายุ  6  ขวบ                               
          เมื่อโมทซาร์ท  อายุได้  7  ปี  เขาได้เดินทางไปแสดงดนตรี  ร่วมกับสมาชิกในครอบครัวของเขาหลายต่อหลายแห่งในออสเตรีย    โมซาร์สเป็นเด็กที่น่ารักมาก  ครั้งหนึ่งเขาไปแสดงดนตรีในวังของจักรพรรดิในกรุงเวียนนา  เขาบังเอิญลื่นล้ม  ก็มีวัยรุ่นสาวคนหนึ่งเข้ามาอุ้มให้เขาลุกขึ้น  เขาก็พูดว่า    “ คุณใจดีจังเลยครับ  เมื่อผมโตขึ้น ผมจะแต่งงานกับคุณ ” และ หญิงสาวคนนั้นก็คือ  มารี  อังตัวแนตต์  ซึ่งต่อมาได้เป็นราชินีของฝรั่งเศสนั้นเอง                               
          ครั้นพออายุได้  13  ปี  เขาได้เดินทางไปแสดงดนตรีทั่วประเทศอิตาลีถึง  2  ปี   เมื่ออยู่ที่กรุงโรมเขได้ไปที่โบสถ์ของพระสันตะปาปา  ( Sistine  Chapel )  และได้ฟังดนตรีที่มีชื่อเสียงบทหนึ่งซึ่งไม่เคยมีการบันทึกโน้ทเพลงเอาไว้  แต่หลังจากโมซาร์ท์ได้ฟังเพลงนี้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น  เขาก็สามารถเขียนโน้ตลงไปได้หมดจากความทรงจำของเขา  และที่โรมนี่เองที่พระสันตะปาปาได้ประสาทเครื่องราชอิสริยาภรณ์ระดับ  Gold  Spur  ซึ่งทำให้เขาได้เป็นอัศวินเมื่ออายุได้เพียง  13  ปี  เท่านั้น นอกจากนี้  โมทซาร์ทก็มีผลงานการประพันธ์เพลง  โซนาตา  คอนแชร์โต  ซิมโฟนี  เพลงวัดประเภทต่าง ๆ   โอเปราชวนหัว และ โอเปเรตตา                                 
         
ชีวิตในวัยหนุ่มของโมทซาร์ท  เมื่อเขาอายุได้  26  ปี  เขาก็แต่งงาน  ส่วนหนึ่งชีวิตของเขาจะอยู่ที่เมืองซาลซ์บวร์ก  แต่ด้วยอารมณ์  ที่เร้าร้อนมีความต้องการเพียงแต่การประพันธ์เพลง  และแสดงคนตรีตามแบบของตน  โดยไม่เอาใจใคร ๆ ทั้งสิ้น  ทำให้โมซาร์ทประสบปัญหาในการปรับตัว  ในที่สุดต้องมาดำเนินชีวิตด้วยตัวของตัวเอง  โดยไม่มีผู้ใดให้ความสนับสนุนด้านการเงิน  ซึ่งทำให้โมทซาร์ทมีชีวิตลุ่ม ๆ ดอน ๆ ตลอดมา  เหตุผลสำคัญที่ทำให้ผลงานของโมทซาร์ทในระยะหลัง ๆ ไม่ได้รับความสนใจจากประชาชนมากนักเนื่องจากแนวคิดในการประพันธ์เพลงก้าวหน้าเกินยุค  ผู้ฟังไม่สามารถเข้าใจได้  จนผู้หนึ่งกล่าวกับโมทซาร์ทว่า  ผลงานของโมทซาร์ทฟังทีแรกไม่เข้าใจเลย  โมซาร์ทจึงตอบไปว่าให้ฟังต่อไปอีก  4 – 5  ครั้ง  ก็คงจะเข้าใจและเป็นความตั้งใจของโมทซาร์ทที่พยายามสร้างสรรค์ผลงานตามความคิดของตัวเองโดยไม่เอาใจตลาดแต่ประการใด    ไม่ว่าเพื่อน ๆ จะเตือนหรือแนะนำโมทซาร์ทให้แต่งเพลงเพื่อสนองความต้องการของสังคมซึ่งจะเป็นประโยชน์สำหรับโมทซาร์ทเองด้วย  คือ  สามารถขายได้แต่โมทซาร์ทไม่เคยฟังแต่ประการใดยังคงประพันธ์เพลงตามความต้องการของตนเองตลอดมา  กล่าวได้ว่า  โมทซาร์ทเกิดผิดยุคก็ว่าได้  ถ้าโมทซาร์ทเกิดมาในยุคโรแมนติก  หรือให้หลังไป  100  ปี  บทประพันธ์ของโมทซาร์ทคงจะเป็นที่ซาบซึ้งของทุกคนทันทีที่เปิดการแสดงรอบแรก

จุดเด่นของโอเปรา

จุดเด่นที่สุดของโอเปรา  ได้แก่  การขับร้อง  ผู้แสดงซึ่งล้วนแต่มีความชำนาญ  ผ่านการศึกษา  ฝึกฝนขับร้องมาอย่างจริงจัง  ทำให้สามารถขับร้องเพลงเพื่อสื่อถึงความรู้สึก และ ความงดงามของโสติศิลป์ให้กับผู้ชมได้รับรู้  และซึมซับสุนทรียรสของเสียงเพลง  ดังนั้น  ความเข้าใจเบื้องต้นในเนื้อเรื่องและบทร้องเป็นสิ่งจำเป็นในการสร้างรากฐานเพื่อความดื่มด่ำในสุนทรีย์ของโอเปรา  เพราะจะช่วยให้ผู้ชมติดตามการแสดงโอเปราได้อย่างไม่เบื่อหน่ายทำให้เกิดความรู้สึกร่วมไปกับการขับร้องและการแสดง    สำหรับผู้ที่สนใจและชอบโอเปราย่อมมุ่งไปสู่อีกระดับหนึ่ง  คือ  ต้องการสัมผัสกับความพึงพอใจของตนเองในการรับฟังอัจฉริยภาพของศิลปินเป็นตัวเอกในโอเปราแต่ละเรื่องที่สามารถขับร้องแสดงความงดงามของโสตศิลป์ได้อย่างไร้ขอบเขต  นี่คือเสน่ห์สูงสุดที่ผู้ชมโอเปราจะรับรู้ได้ทำให้ผู้นั้นเกิดความเอิบอิ่ม  ซาบซึ้งในสุนทรีย์ของโอเปราอย่างครบถ้วนสมบูรณ์
                                 การฟังโอเปราจากเครื่องเสียงโดยมิได้ชมการแสดงหรือวิดีทัศน์  ก็ให้อารมณ์ความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป  สุนทรีย์ของโอเปราในนัยนี้    ผู้ฟังจะได้สัมผัสกับโสตศิลป์แต่เพียงอย่างเดียว    ไม่มีโอกาสให้รับรู้เชิงศิลปะการแสดง  อย่างไรก็ตามในด้านดนตรี  การฟังโอเปราเช่นนี้ผู้ฟังสามารถรับรู้และเข้าถึงความงดงามของโอเปราเชิงโสตศิลป์อย่างสมบูรณ์เช่นกัน

สุนทรีย์ของโอเปรา

สุนทรีย์ของโอเปรา               
               การสร้างสรรค์โอเปราเริ่มต้นด้วยบทร้องซึ่งผู้ประพันธ์เพลงจะนำมาร้อยเรียงโดยใช้เสียงดนตรีเป็นสื่อในการถ่ายทอดอารมณ์  และเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ  ผู้ชมจึงควรรับรู้ถึงคุณค่าความงดงามของสุนทรียรสแห่งดนตรีให้ได้  ซึ่งความงดงามนี้ได้รับการถ่ายทอดโดยผู้แสดงทั้งผู้ขับร้อง  และผู้บรรเลงดนตรีในวงออร์เคสตรา  นอกจากนี้ผู้สร้างสรรค์องค์ประกอบอื่น ๆ ทั้งหมดนอกเหนือไปจากดนตรี  ทำให้การแสดงโอเปรามีสีสรรค์ครบถ้วนสมบูรณ์แบบ  ผู้ชมโอเปราจึงควรซึมซับรับรู้ความสวยงามขององค์ประกอบเหล่านี้  อันได้แก่  ฉาก  การแต่งกาย  การแสดง  เป็นต้นให้ครบถ้วน  ผู้นั้นจึง
จะได้สัมผัสกับสุนทรีย์ของโอเปราโดยแท้จริง
 โอเปรานับเป็นการแสดงที่รวมทั้งโสตศิลป์  ทัศนศิลป์  และวรรณศิลป์ไว้ด้วยกันอย่างลงตัว  สุนทรีย์ของโอเปราโดยส่วนรวมจึงอยู่ในความยิ่งใหญ่ตระการตาของการนำเสนอทั้งภาพและเสียงที่สมบูรณ์แบบ  ฉาก  เครื่องแต่งกาย  และดนตรีที่มีทุกรูปแบบ  ทั้งการขับร้อง  และการบรรเลงของวงออร์เคสตราที่ยิ่งใหญ่  ทำให้โอเปราเป็นสุดยอดของศิลปะการแสดงในโลกของดนตรีคลาสสิกความตื่นตาตื่นใจของผู้ชมเป็นสิ่งแรกที่จะช่วยเร้าให้ผู้นั้นเข้าถึงสุนทรียรสของเสียงดนตรีและสุนทรียภาพของศิลปะการแสดง

ประเภทของอุปรากร

ประเภทของ อุปรากร ( Opera )
                                   1.  อุปรากร  ( Opera )  โดยปกติคำว่าOpera  มักจะใช้จนเป็นที่เข้าใจว่า  หมายถึง  โอเปราซีเรีย  ( Opera  seria )  หรือ  Serious  opera  หรือ  Grand  opera  ซึ่งเป็น  Opera  ที่ผู้ชมต้องตั้งใจดูอย่างมาก  เพราะเป็นการดำเนินหรือใช้บทร้องลักษณะต่าง ๆ และ ริซิเททีฟ  ไม่มีการพูดสนทนาซึ่งจัดว่าเป็นศิลปะดนตรีชั้นสูงเช่นเดียวกับการเข้าถึงศิลปะแขนงอื่น ๆ การชมโอเปราประเภทนี้จึงต้องมีพื้นความรู้ และมีความเข้าใจในองค์ประกอบของOpera  โดยเฉพาะด้านดนตรีเพื่อความซาบซึ้งอย่างแท้จริงเรื่องราวของโอเปราประเภทนี้มักจะเป็นเรื่องของความเก่งกาจของพระเอกหรือตัวนำ  หรือเป็นเรื่องโศกนาฏกรรม  ( heroic  or  tragic  drama )
                                   2.  โคมิค  โอเปรา  ( Comic  Opera )  Opera  ที่มักจะมีเนื้อร้องที่สนุกสนาน  ตลกขบขันล้อเลียนคน  หรือ  เหตุการณ์ต่าง ๆ มักมีบทสนทนาที่ใช้การพูดระหว่างบทเพลงร้อง  โอเปราประเภทนี้จะดูง่ายกว่าประเภทแรก  เนื่องจากเนื้อเรื่องที่สนุกสนาน  มีบทสนทนาแทรก  ดนตรีและเพลงที่ฟังไพเราะไม่ยากเกินไป  โคมิคโอเปรามีหลายประเภท  เช่น  Opera - comique ( ฝรั่งเศส ) Opera  buffa ( อิตาเลียน )  Ballad  opera  ( อังกฤษ ) และ Singspiel  ( เยอรมัน )
                                   3.  โอเปอเรตตา  ( Operetta ) โอเปอเรตตาจัดเป็นโอเปราขนาดเบามีแนวสนุกสนานทันสมัยอาจจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรักกระจุ๋มกระจิ๋มคล้าย ๆ กับโคมิคโอเปรา โดยปกติโอเปอเรตตา ใช้การพูดแทนการร้องในบทสนทนา
                                   4.  คอนตินิวอัส  โอเปรา  ( Comtnuous  Opera )  เป็นโอเปราที่ผู้ประพันธ์ใช้ดนตรีเชื่องโยงเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ  มิใช่เป็นการร้องหรือสนทนาเป็นช่วง ๆ ลักษณะของคอนทินิวอัส  โอเปรานี้ วากเนอร์ เป็นผู้นำและใช้เสมอในโอเปราที่เขาเป็นผู้ประพันธ์

ลักษณะของอุปรากร

ลักษณะของอุปรากร ( Opera )                                                                                                     
          1.  ลิเบรตโต ( Libretto ) คือเนื้อเรื่อง  หรือบทละครของโอเปรา  บางครั้งบทโอเปรา  บางครั้งบทโอเปราอาจจะเป็นบทที่ดัดแปลงมาจากนิยายหรือบทละครอื่น ๆ  บางครั้งบทโอเปราก็เป็นบทที่ผู้ประพันธ์แต่งเนื้อเรื่องขึ้นโดยเฉพาะ  เพื่อให้ผู้ประพันธ์ใช้เป็นบทแต่งโอเปรา  เช่น  ดา  ปองเด  ( Da  Ponte ) เขียนบทโอเปราบางเรื่องให้กับโมทซาร์ท เช่นเรื่อง  ( Bon  Glovanni  บัวดา  ( Boita ) บางเรื่องให้กับแวร์ดี  เช่น  เรื่อง  Otelta  บางครั้งบทโอเปราเป็นบทประพันธ์ของผู้ประพันธ์เพลงเองโดยแท้  เช่น  วากเนอร์  ประพันธ์  Lohengrin และ The  Flying  Dutchman  และเมโนตติ  ประพันธ์  The  Telephone
          บท Opera ส่วนใหญ่มักเป็นภาษาอิตาลี  เยอรมัน  หรือฝรั่งเศส  จึงเป็นอุปสรรค์ประการหนึ่งที่จะทำให้เกิดความเข้าใจและซาบซึ้งในโอเปราได้  จึงจำเป็นที่ผู้ชมโอเปราควรทราบเรื่องราวโอเปราก่อนไปชมอย่างดี  ปกติแผ่นซีดีโอเปรามักจะมีบทดั้งเดิมและบทภาษาอังกฤษพิมพ์ไว้คู่กันแนบมาพร้อมกับแผ่นซีดี  การแสดงโอเปราบางครั้งอาจจะมีคำบรรยายภาษาอังกฤษให้ผู้ชมได้อ่านอยู่ตอนบนของเวทีแสดง  บางครั้งการแสดงโอเปราอาจจะร้องเป็นภาษาอังกฤษเพื่อช่วยให้ผู้ชมเข้าใจเรื่องราวที่ดำเนินไป    อย่างไรก็ตามมีโอเปราบางเรื่องที่ควรร้องในภาษาดั่งเดิมมากกว่าจะร้องเป็นภาษาอังกฤษ  ทั้งนี้เพราะความไพเราะของสำเนียงภาษานั้น ๆ จะมากกว่าจะใช้ภาษาอังกฤษ
          2.  โอเวอร์เซอร์  ( Overture ) คือบทประพันธ์ที่บรรเลงด้วยเครื่องดนตรีล้วน ๆ ใช้เป็นเพลงนำก่อนการแสดงโอเปราอาจเรียกเป็นภาษาไทยได้ว่า  เพลงโหมโรง  บางครั้งอาจใช้คำว่า เพรลูด ( Prelude ) แทนโอเวอร์เซอร์  เพลงโอเวอร์เซอร์อาจจะเป็นเพลงที่แสดงถึงบรรยากาศของโอเปราที่จะแสดง  กล่าวคือ  ถ้าโอเปราเป็นเรื่องเศร้า โอเวอร์เซอร์จะมีทำนองเศร้า ๆ อยู่ในที  เป็นต้น  บางครั้งโอเวอร์เซอร์อาจเป็นเพลงที่รวมทำนองหลักของ Opera  ฉากต่าง ๆ ไว้ก็ได้  โอเวอร์เซอร์มักเป็นเพลงสั้น ๆ ประมาณ  5 - 10  นาที  ปกติจะใช้วงออร์เครสตราทั้งวงบรรเลง  ถ้าโอเปราเรื่องนั้นใช้วงออร์เคสตราประกอบ  ลักษณะเพลงโอวอร์เซอร์มักรวมเอาองค์ประกอบต่าง ๆ ของดนตรีไว้อย่างครบถ้วนไม่ว่าจะเป็นความดัง - ค่อย  สีสัน  ลีลาต่าง ๆ จึงทำให้โอเวอร์เซอร์เป็นบทเพลงที่ชวนฟัง  โอเวอร์เซอร์ของโอเปราบางเรื่องมีความไพเราะเป็นที่นิยมฟังและบรรเลงเป้นเพลงแรกของการแสดงคอนเสิร์ตโดยทั่วไป  เช่น  " Overture  of  The  Marraige  of  Figaro " ของโมทซาร์ท  " Overture  of  The  Barber  of  Saville " ของ รอสชินี  " Overture  of  Fidelio "  ของเบโธเฟน  " Overture  of  Carmen "  บิเซต์  เป็นต้น

วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

อุปรากร (opera)

                                                                    





          อุปรากร (อังกฤษopera) เป็นศิลปะการแสดงบนเวทีชนิดหนึ่ง โดยมีลักษณะเป็นแบบละครที่ดำเนินเรื่องโดยใช้ดนตรีเป็นหลักหรือทั้งหมด อุปรากรถือเป็นส่วนหนึ่งของดนตรีคลาสสิก ตะวันตก มีความใกล้เคียงกับละครเวทีในเรื่องฉาก การแสดง และเครื่องแต่งกาย แต่สิ่งสำคัญที่แยกอุปรากรออกจากละครเวทีทั่วไป คือ ความสำคัญของเพลง ดนตรีที่ประกอบการร้อง ซึ่งอาจมีตั้งแต่วงดนตรีขนาดเล็กจนไปถึงวงออร์เคสตราขนาดใหญ่                           
ประวัติ                                                                                                                                                                                                       อุปรากรกำเนิดขึ้นในช่วงท้ายของศตวรรษที่ 16 ณ ประเทศอิตาลี สามารถสืบค้นต้นกำเนิดได้ถึงสมัยกรีกโบราณ ซึ่งมีการแสดงที่เรียกว่า tragedies ลักษณะเป็นการขับร้องประสานเสียงประกอบบทเจรจา ในสมัยกลางและเรเนส์ซองส์มีการแสดงที่ใช้การขับร้องดำเนินเรื่อง เมื่อถึงปลายศตวรรษที่ 16 กลุ่มนักดนตรีอิตาเลียนที่เมืองฟลอเรนซ์ได้ศึกษาประวัติเกี่ยวกับละครร้องย้อนไปถึงยุคกรีกโบราณดังกล่าว ในที่สุดจึงคิดรูปแบบการประพันธ์ที่เรียว่า อุปรากร (Opera) ขึ้น ผู้ประพันธ์เพลงที่ได้พัฒนารูปแบบของอุปรากร คือ เพรี ราวต้นศตวรรษที่ 17 มอนเทเวร์ดีได้ปรับรูปแบบอุปรากรให้สมบูรณ์ขึ้น ทำให้คล้ายกับรูปแบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน                           
          ยุคบาโรคอุปรากรเป็นการแสดงที่ผู้ขับร้องนำบทพระเอกและนางเอกเป็นสตรีล้วน ตั้งแต่ยุคคลาสสิกเป็นต้นมา ผู้ขับร้องนำทั้งพระเอกและนางเอกใช้ผู้ขับร้องเป็นชายและหญิงแท้จริง โมสาร์ทเป็นผู้หนึ่งที่พัฒนารูปแบบอุปรากรในยุคคลาสสิกให้มีมาตรฐาน โดยไว้หลายเรื่องด้วยกัน ในยุคโรแมนติกการประพันธ์อุปรากรมีรูปแบบหลากหลาย บางเรื่องมีความยาวมาก สามารถแสดงได้ทั้งวันทั้งคืน